Welcome to T.H.N-Guidance ยินดีต้อนรับสู่...งานแนะแนวโรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ

บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง         :    รายงานการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับ
                       นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  โรงเรียนถาวรานุกูล  จังหวัดสมุทรสงคราม                        
ผู้รายงาน       :    นางธวัลรัตน์  ชัยคณาพิบูลย์
                     ครูชำนาญการ  โรงเรียนถาวรานุกูล  จังหวัดสมุทรสงคราม
ปีที่ทำการรายงาน :   พ.ศ.2556
                   รายงานการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาผลของการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5 โรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม 2. เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  โรงเรียนถาวรานุกูล  จังหวัดสมุทรสงคราม และ 3.  เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนถาวรานุกูล  จังหวัดสมุทรสงคราม  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 7 จำนวน 36  คน และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 8 จำนวน  37  คน   โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive  Sampling) โดยกำหนดให้ชั้นมัธยมศึกษา        ปีที่ 5 ห้อง 7  เป็นกลุ่มควบคุม และชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5 ห้อง 8  เป็นกลุ่มทดลอง  เครื่องมือที่ใช้   ในการศึกษาประกอบด้วย 1.ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์   จำนวน  16  กิจกรรม  2.แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์  สำหรับวัยรุ่น (อายุ 12–17 ปี) ของกรมสุขภาพจิต  กระทรวงสาธารณสุข  และ 3. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเข้าร่วมกิจกรรม แนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์
ผลการศึกษาพบว่า
          1.  การศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักเรียน       ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5 พบว่า  คะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนที่เป็นกลุ่มทดลองหลังการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์  มีคะแนน   การประเมินความฉลาดทางอารมณ์สูงขึ้นกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรม แนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .05 
          2.  การเปรียบเทียบคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ พบว่านักเรียนที่     เป็นกลุ่มทดลองมีคะแนนความฉลาดทางอารมณ์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว  เพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ  .05  
          3.  การศึกษาความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว    เพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์    พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว     โดยใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในระดับมาก 





Thesis  title  :  The  report  of  Using  guidance  activities   to  develop  emotional   
                     quotient  for  Matthayomsuksa  five  students, Thawaranukul  School, 
                     Samut Songkhram.
Researcher  :   Mrs.Thawanrat   Chaikanapiboon
Academic  year  :  2013
                                                Abstract
          The  purposes  of  Using  guidance  activities   to  develop  emotional   
quotient  for  Matthayomsuksa  five  students  were  to :  1)  study  the  result  of  using  guidance  activities   to  develop  emotional  quotient  for  Matthayomsuksa  five  students  2)  compare  the  student’s  emotional  quotient  score  before  and  after  using  guidance  activities  and 3)  study  the  student’s  opinions  toward  guidance  activities.
          The  sample  consisted  of  thirty-six  students  in  Matthayomsuksa  five  room  seven  as  control  group  and thirty-seven  students  in  Matthayomsuksa  five  room  eight  as  experimental  group  by  purposing  sampling.  The  instruments  use  for  study  were 1) sixteen  guidance  activities  2)  evaluation  form  of  emotional  quotient  for  teenagers (12 – 17 years  old), Department  of  Mental  Health, Ministry  of  health and 3) a  questionnaire  surveying  students’  opinions  on  participating  guidance  activities.

          The  result  of  the  study  were 1)  the  experimental  group  students’  emotional  quotient  scores  after  the  work  participation in  guidance  activities  were  significantly  higher  than  those  before  at  the  level of .05  2)  the  experimental  group  students’  emotional  quotient  scores  were  significantly  higher  than  the  control  group  students  at  the  level of .05  3)  the  students’  positive  opinions  toward  guidance  activities  were  high.

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

10  สิ่งที่นักเรียนที่จะAdmission ต้อง ลด ละ  เลิก
ลด = การทำให้น้อยลง ทั้งปริมาณและความถี่ พี่มิ้นท์ขอแนะนำให้น้องๆ ลดสิ่งเหล่านี้
               
1) ลดโซเชียลเน็ตเวิร์คกวนใจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ วอทแอพ อินสตาแกรม ฯลฯ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีมือถือ กดแอพครั้งเดียวก็เข้าสู่วงจรโซเชียลมีเดียแล้ว เข้าใจว่าน้องๆ ยังต้องติดตามข่าวสารแอดมิชชั่นกันอยู่ ดังนั้นจะไม่ขอให้น้องเลิก แต่แนะนำให้ลดเวลาการเล่น เอ้ย! เวลาใช้งานลงหน่อย จากเดิมที่เคยเข้าทุกวัน อัพเดททุกนาที ก็เข้ามาเฉพาะเวลาจำเป็นในการติดตามข่าวสาร พี่มิ้นท์จัดมาไว้อันดับ 1 ก็เพราะรู้ว่าเจ้าตัวนี้เป็นอุปสรรคหนักอึ้ง ถ้าลดเวลาเล่นลงได้ ก็ชนะใจตัวเองได้ คณะในฝันก็อยู่แค่เอื้อมค่ะ
               
2) ลดเม้าธ์มอยกับเพื่อนดึกๆ ทุกคืน เชื่อว่ากิจวัตรอย่างนึงของน้องๆ คือ การคุยโทรศัพท์ก่อนนอนเป็นชั่วโมงๆ วันไหนไม่ได้คุยจะรู้สึกอึดอัดเหมือนใครเอาอะไรมาปิดปากไว้ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าถ้าเอาเวลาที่น้องๆ คุยโทรศัพท์ในแต่ละวันมารวมกัน อาจทำให้อ่านหนังสือจบได้หลายเล่มเลยทีเดียว ดังนั้นคุยแต่พอดี แล้วเอาเวลามาอ่านหนังสือหรือนอนพักผ่อนดีกว่าจ้า
              
  3) ลดโปรแกรมเที่ยว ช้อปปิ้งหลังเรียนพิเศษ ใครเรียนพิเศษเสร็จแล้วกลับบ้านเลย ยกมือขึ้น!! ........(เงียบ) และนี่ก็คือที่มาที่เกิดข้อควรลดในข้อนี้ เพราะกว่า 70% ของน้องๆ ที่เรียนพิเศษ โดยเฉพาะในย่านการค้า ก็มักจะเดินเล่นช้อปปิ้งต่อ ในช่วงเตรียมแอดฯ แบบนี้ ลดเวลาเที่ยวลงหน่อยก็ดีนะคะ :D ไว้สอบเสร็จค่อยออกเที่ยวกัน ที่สำคัญเอาค่าใช้จ่ายในการช้อปปิ้งมาเป็นค่าสมัครสอบดีกว่า มีประโยชน์กว่าแล้วไม่ต้องรบกวนพ่อแม่หลายๆ รอบด้วย
              
4) ลดการนอนตื่นสาย แฮปปี้ไทม์ของเด็กไทยคือ เช้าวันเสาร์และอาทิตย์ เพราะได้นอนตื่นสาย บางคนตื่นตอนตะวันตั้งฉากกับพื้นดินแล้ว ใครที่เป็นแบบนี้อยู่ ถือว่าพลาดมาก เพราะช่วงเช้าๆ ยิ่งเช้ามืดยิ่งดี เหมาะกับการอ่านหนังสือมากที่สุด ทางที่ดีนอนแต่หัวค่ำ และตื่นมาตอนเช้า มาดูว่าโลกตอนเช้านั้นน่าอยู่แค่ไหน
        ละ = ถ้าเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ก็เลี่ยงซะ (แต่ไม่ได้บังคับนะ^^)
             
  1) ละการดูละคร นิยาย ซีรีย์เกาหลี ของบันเทิงช่วงปิดเทอมทั้งหลาย ทั้งละครภาคค่ำ นิยายที่กองเกลื่อนโต๊ะ หรือซีดีหนังที่เพิ่งเช่ามา ถ้าละได้ก็ละดูบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้เหมือนสิ่งเสพติดที่ดูแล้ววางไม่ลงจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าหลวมตัวไปดู แน่นอนว่าต้องใช้เวลาอยู่กับมันไปหลายชั่วโมง ดังนั้นลองดูเฉพาะเวลาที่เครียดหรือต้องการพักผ่อนดีกว่า
             
  2) ละคำเชิญชวนของเพื่อนๆ ที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตสุดพิเศษ ละครเวทีสุดประทับใจ ใครชวนไปกินไปเที่ยวก็ลองปฏิเสธและเลี่ยงไม่ไปบ้าง เพื่อนคงไม่โกรธเราหรอกค่ะ เพราะไปแต่ละครั้ง นอกจากจะใช้เวลาทั้งวันแล้ว ยังเปลืองเงินโดยใช่เหตุ ที่สำคัญกลับมายังต้องอัพรูป กดไลค์ แชร์ในเฟซบุ๊กอีก โห...หลายต่อเลยนะเนี่ย ดังนั้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าไม่ได้กวดวิชาที่ไหน ก็ละเรื่องเที่ยวสังสรรกับเพื่อน แล้วกลับมาอยู่กับตัวเองดีกว่าค่ะ
              
3) ละเรื่องดราม่าทั้งหลายแหล่ แค่เรื่องสอบก็เครียดหัวฟูอยู่แล้ว พวกเรื่องดราม่าอื่นๆ ประเภท การเมือง หรือการไซโคคะแนนกัน ใครได้เท่าไหร่ สอบติดที่ไหน ก็ช่างเขา(เดี๋ยวเราก็ติดแน่นอน) อย่าเอามาใส่ใจให้รกสมอง มีสติและสมาธิกับสิ่งที่เราทำดีที่สุดนะคะ
       
  เลิก = ตัดขาดจากมันให้ได้!!
              
1) เลิกพูดคำว่า "เดี๋ยวก่อน" ซักที คำนี้เหมือนคำโกหกยังไงก็ไม่รู้ เพราะพูดทีไร ความหมายของมันคือ "ไม่ทำ" หรืออีกสามชั่วโมงค่อยทำ ระวังจะเข้ามหาลัยปีหน้า เพราะคำว่าเดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าอยากเลิกนิสัยแบบนี้ก็ไม่ยาก แค่ลงมือทำทันทีที่คิดว่าจะทำอะไร จะอ่านหนังสือก็อ่านเลย จะทำแบบฝึกหัดก็ทำเลย จบ!!
              
2) เลิกนั่งแช่ที่โรงเรียนโดยไม่จำเป็น ในโรงเรียนมีเพื่อน มีพี่ มีน้อง มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย หลายคนจึงเลือกนั่งแช่ที่โรงเรียนก่อนกลับบ้าน แต่สำหรับเวลาเตรียมแอดที่เหลือน้อยเต็มที หากไม่มีกิจกรรมอะไรโดยตรง พี่มิ้นท์ว่ารับกลับบ้านดีที่สุดนะคะ รถไม่ติดด้วย เอาเวลานี้ไปสรุปเนื้อหาที่เรียนแล้วเตรียมอ่านก่อนสอบดีกว่าค่ะ ยิ่งช่วงนี้หน้าฝน ต่อไปก็หน้าหนาว ท้องฟ้าจะมืดเร็ว อันตรายค่ะ
              
3) เลิกดองงาน อู้งาน การเรียนของเด็กไทยคู่กับการบ้าน หากชิ้นแรกไม่ทำ ชิ้นสองไม่ทำ งานก็จะกองสุมทับจนหายไม่ออก สุดท้ายเวลาที่ต้องอ่านหนังสือก็ต้องเอามาเคลียร์การบ้าน แบบนี้ไม่เวิร์คแน่นอนค่ะ ดังนั้นมีงานมาเมื่อไหร่ก็รีบจัดการให้เสร็จ สบายใจดีค่ะ ใครการบ้านสุมหัวอยู่ ลองเอา "วิธีจัดการการบ้าน" ของพี่มิ้นท์ไปจัดการดูนะคะ
                
4 ลด 3 ละ 3 เลิก รวมเป็น 10 สิ่งที่เด็กเตรียมแอดควรปรับพฤติกรรม เพราะช่วงเตรียมแอดเป็นช่วงที่ควรทุ่มเทเวลาให้มากที่สุด ซึ่งน้องๆ จะเห็นว่าแต่ละอย่างเกี่ยวข้องกับเวลาทั้งนั้น ดังนั้นฝากน้องๆ ลองนำไปพิจารณาดูนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมพักผ่อนด้วย สมองดีแล้วร่างกายก็ต้องพร้อมด้วย ทั้งหมดนี้ก็แค่ช่วงแอดมิชชั่นเท่านั้น พอแอดมิชชั่นติด ไลฟ์สไตล์เราก็จะกลับมาเหมือนเดิมค่ะ ทนอีกนิดเดียวนะคะ สู้ๆ
              ที่มา http://www.dek-d.com/content/admissions/29577/10

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

        UploadImage

“สมาธิ” ความจำเป็นต่อการทำกิจกรรม เพราะการที่เราจะทำกิจกรรมอะไรให้ดีนั้น เราทุกคนต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ตั้งใจทำ เพื่อให้ผลที่ออกมาได้ดังที่เราตั้งไว้
วันนี้พี่จึงมีสาระดีๆเกี่ยวกับการเรียน ที่เชื่อมโยงเรื่องของสมาธิมาแบ่งปันให้น้องๆค่ะ ไปติดตามกันเลยค่ะ

สาเหตุของการไม่มีสมาธิ
๑. ขาดความสนใจในสิ่งที่ทำ
๒. สนใจในสิ่งที่ทำมากจนเกินไป
๓. สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
๔. ความเป็นคนหัวดี ปัญญาดี ทำให้คิดไปที่อื่นเร็ว
๕. จิตครอบงำด้วยนิวรณ์

การสร้างนิสัยให้มีสมาธิในชีวิตประจำวัน
๑. สร้างนิสัย ลงมือทำทันที
๒. สร้างนิสัย เรียนล่วงหน้า มิใช่แค่ เรียนตาม
๓. สร้างนิสัยมุ่งมั่นว่า ?ถ้าทำไม่เสร็จจะไม่ใส่ใจอะไรอื่น
๔. จัดลำดับของเรื่องที่จะทำก่อนลงมือ
๕. หัดคิดทีละเรื่อง โดยให้เจาะลึกในเรื่องนั้นๆ อย่าผิวเผิน
๖. สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะแก่การมีสมาธิ
๗. รู้จักพักเป็นช่วงๆ
๘. สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำสิ่งนั้นๆ
๙. พยายามหัดคิดในเรื่องสร้างสรรค์
๑๐. เลิกนิสัยมากเรื่องในการจะทำอะไรสักอย่าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ได้แนะนำวิธีการทำสมาธิในห้องเรียนว่า
๑. หาที่นั่งที่สามารถมองเห็นครูและกระดานได้ชัดเจน
๒. เมื่อครูเดินเข้ามา ส่งจิตไปรวมที่ครูผู้สอน
๓. จับใจความให้ได้ตามที่ครูต้องการ
๔. เวลาว่างแทนที่จะนั่งคิดสิ่งอื่น ก็นำบทเรียนมาคิด
๕. ให้สติรู้ตัวทุกอิริยาบถ ในการทำ พูด คิด
ขอบคุณสยามเซาท์
เห็นกันรึยังคะว่าการมีสมาธิในการเรียน ส่งผลดีมากแค่ไหน ดังนั้นเรามาเริ่มกันวันนี้เลยนะคะ มาตั้งสติ และทำสมาธิไปพร้อมๆกัน ทุกอย่างไม่ยากอย่างที่คิดหรอกค่ะ ในครั้งต่อไป พี่จะมีสาระดีๆอะไรมาฝาก ก็ขอให้น้องๆติดตามด้วยนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย จริงหรือเปล่า???
       เห็นใครๆ ก็บอกว่าสายอาชีพเรียนไปทำงานไปได้ จริงหรือเปล่า? ก็ในเมื่อต้องเอาเวลาไปเรียนเหมือนกัน แถมเรียนภาคปฏิบัติก็เยอะ จะเอาเวลาไหนไปทำงาน? ตกลงว่าได้ทำงานจริงๆ หรือเปล่า??
       ขอตอบว่า จริงส่วนหนึ่งค่ะ เพราะมีหลักสูตรอาชีวศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่เรียนไปทำงานไปพร้อมกันได้เลย แต่อีกส่วนหนึ่ง อาจทำงานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียนค่ะ เพราะผู้เรียนก็เรียนที่โรงเรียนธรรมดา แต่ถ้ามีช่วงเวลาว่างก็อาจไปทำงานได้ เพราะกฎของโรงเรียนสายอาชีพ จะยืดหยุ่นให้สามารถทำงานพิเศษได้มากกว่าโรงเรียนสามัญ ดังนั้น นักเรียนจึงนิยมทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย เรียนไปด้วย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเรียนสายอาชีพทุกคนจะทำงานไป เรียนไปด้วยนะ   แล้วเจ้ากลุ่มที่ว่า เรียนไป ทำงานไป มีเงินเดือนนี่เป็นแบบไหนนะ (คุ้นๆ เหมือนโฆษณาทางโทรทัศน์ไหม?) จะพาไปรู้จักค่ะ
กลุ่มที่ว่านี้  เรียกว่า  "การอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี" ความหมายที่พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 ให้ไว้ว่า เป็นการจัดการศึกษาวิชาชีพที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษา หรือสถาบันกับสถานประกอบการรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ในเรื่องการจัดหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่งในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ  พูดให้ง่ายก็คือ "เป็นนักเรียนในโรงเรียน และเป็นพนักงานของสถานประกอบการไปด้วย" เป็นคนสองสถานภาพ   โดยคนที่เลือกเรียนระบบนี้ ต้องเรียนวิชาสามัญและวิชาชีพพื้นฐานในโรงเรียน สัปดาห์ละ 1 - 2 วัน แล้วไปเรียนรู้และทำงานจริงในบริษัท 3 - 4 วัน ทั้งนี้ภายใต้การตกลงกันระหว่างโรงเรียนกับบริษัท  เป้าหมายหลักของระบบทวิภาคีนี้ก็คือ   เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และทำงานได้ตรงตามความต้องการของบริษัทนั้นๆ นั่นเอง และผลประโยชน์ที่สำคัญแก่ผู้เรียนก็คือทักษะอาชีพจากการทำงานจริง ได้รับเบี้ยเลี้ยงจริง ได้ทั้งใบรับรองจบประกาศนียบัตรวิชาชีพ และใบรับรองการทำงานจากบริษัทเลยพอจบแล้วไปสมัครทำงานที่อื่นๆ จะยิ่งดูดีมีประสบการณ์ยิ่งขึ้นไปอีกนะ แต่ก็แน่นอนว่าอาจได้เข้าทำงานจริงๆ ที่บริษัทที่ฝึกอยู่ด้วย   ที่สำคัญการเรียนระบบนี้ จะช่วยฝึกคุณลักษณะนิสัยที่ดีให้เข้มข้นขึ้น คือ ความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา และอดทน เข้าใจการทำงานจริงมากขึ้น เพราะบริษัทจะเป็นผู้ตรวจสอบและประเมินการทำงานจริงๆ ด้วย ไม่เหมือนการไปฝึกงานทั่วๆ ไป การปฏิบัติต่อผู้เรียนก็จะเป็นแบบ  "คนทำงานมากกว่านักเรียน"  ดังนั้นจะเรียกว่า ฝึกความเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง ก็ไม่แปลก ซึ่งคุณสมบัติของคนที่ต้องการเรียนในระบบทวิภาคีนี้ ต้องมีคุณสมบัติตรงตามทั้งที่โรงเรียนและบริษัทต้องการ จึงมักมีคัดเลือกและสัมภาษณ์เข้าเรียนจากบริษัทด้วย ถ้าสนใจการเรียนสายอาชีพระบบทวิภาคีนี้ จะต้องติดตามการประกาศรับสมัครจากโรงเรียนสายอาชีพหรือบริษัทที่เข้าร่วมระบบนี้ค่ะ  ตัวอย่างโรงเรียนที่เปิดสอนในระบบอาชีวศึกษาทวิภาคี เช่น โรงเรียนปัญญาภิวัฒน์เทคโนโลยีธุรกิจ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (ปัจจุบันเปิดสอนในระดับปริญญาตรี  4  สาขา  และปริญญาโทด้วยค่ะ)   ซึ่งปกติแล้วระบบทวิภาคีจะมีเปิดรับสมัครตามโรงเรียนสายอาชีพทั่วไป วิทยาลัยอาชีวศึกษา และวิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัดอยู่แล้ว แต่ต้องติดตามการรับสมัครตามแต่ละปีนั้นๆ (เรียกว่า ปวช.ทวิภาคี/ปวส.ทวิภาคี)



วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Guidance Activities

สวัสดีค่ะ......
ผู้ติดตาม blog  งานแนะแนว   โรงเรียนถาวรานุกูลทุกท่าน  บรรยากาศคริสต์มาสมาถึงแล้ว  นะคะ  ขออวยพรให้ทุกๆ ท่านจงมีแต่ความสุข  พบแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิตนะคะ  ผู้ที่มีความสุขอยู่แล้วก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ ยิ่งขึ้นนะคะสำหรับนักเรียน ม.6 ที่น่ารักทุกคน  ขอให้ประสบความสำเร็จในการสอบเข้าศึกษาต่อนะคะ.....ท่านผู้อ่านที่รักต้องการให้งานแนะแนวนำเสนอข้อมูลใด....กรุณาแสดงความคิดเห็นลงใน blog ได้เลยนะคะ  เราพร้อมนำเสนอสาระที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านค่ะ  สำหรับวันนี้ก็ได้นำภาพการร่วมกิจกรรมของคุณครูและนักเรียนมาฝากให้ชมค่ะ.... 

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มาช่วยกันระดมสมอง

น่าสลด เด็ก 2 ขวบโดนรถชนไม่มีใครสนใจ



เอเยนซี - สื่อจีนเผยภาพ สตรีเก็บขยะ ผู้ช่วยชีวิตเด็กหญิง เย่ว์เย่ว์ วัย 2 ขวบ ที่ถูกรถทับบาดเจ็บปราศจากคนช่วยเหลือเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่เมืองฝอซาน มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ขณะหน่วยงานรัฐและองค์กรกุศลระดมเงินช่วยเหลือเด็กน้อย และตอบแทนสตรีเก็บขยะ ผู้ช่วยชีวิตเด็กคนนี้
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. บิดา มารดาของเด็กหญิงเย่ว์เย่ว์ ได้เดินทางไปพบกับ นางเฉิน เซวี่ยนเม่ย วัย 57 ปี สตรีเก็บขยะซึ่งเป็นผู้ไปอุ้มร่างของเด็กหญิงเย่ว์เย่ว์
ที่นอนเจ็บเนื่องจากถูกรถทับ โดยนางฉู่ มารดาของเด็ก กล่าวว่า "ไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณชีวิตครั้งนี้อย่างไร"

พร้อมกันนั้น ทั้งบิดาและมารดาของเย่ว์เย่ว์ ก็ได้คุกเข่าก้มลงกราบเท้าของ นางเฉิน เซวี่ยนเม่ย ทั้งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นฉิงหยวน มณฑลกว่างตง ได้แถลงชื่นชม นางเฉิน ซึ่งปัจจุบัน ทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านในตอนเช้าให้กับบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง และออกเก็บเศษขยะรีไซเคิลในตอนบ่าย โดยใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับบุตรชาย        
รายงานข่าวกล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ นาย กั่วหยู ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานเขตฝอซัน หนานไห่ ได้มอบเงินของรัฐและที่รวบรวมจากประชาชนเพื่อตอบแทนความดีให้แก่ นางเฉิน 20,000 หยวน
ซึ่งนางเฉินได้มอบเงินต่อให้กับมารดาของเด็กหญิงเย่ว์เย่ว์ ขณะที่องค์กรการกุศลหลายกลุ่มในจีน ก็กำลังระดมเงินเพื่อช่วยเหลือ ด.ญ.เย่ว์เย่ว์ และตอบแทนนางเฉิน เช่นกัน

นางเฉิน กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า "ฉันกำลังเดินเก็บเศษวัสดุอุปกรณ์ที่คนทิ้งในตลาด พอเห็นเด็กนอนอยู่กลางถนน ก็รีบเข้าไปช่วยอุ้ม ตอนนั้นได้ยินเสียงร้องเบาๆ ดวงตาของเด็กปิดไปข้างนึง เด็กมีน้ำตาและเลือดออกมาจากจมูก ปากและศีรษะ"
"ฉันพยายามรวบตัวเด็กขึ้น แต่อ่อนยวบไปหมดแล้ว จึงไม่กล้าที่จะอุ้ม ฉันลากเธอออกมาจากถนน และร้องหาคนช่วยเหลือ"
นางเฉินยังได้กล่าวอีกว่า "ในตอนนั้น ฉันไม่คิดกลัวว่าใครจะมาโทษหาว่าฉันทำ ไม่กลัวว่าจะมีปัญหาภายหลัง เพราะตอนนั้นต้องรีบช่วยเด็กก่อนแล้ว"

มารดาของเย่ว์ เย่ว์ ได้ กล่าวว่า ยังคงมีความหวัง เพราะเย่ว์เย่ว์เริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่า เส้นประสาทสามารถรับรู้ความรู้สึกเมื่อถูกกระตุ้นแล้ว 

หวัง เจิ้นอัน เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองฝอซัน กล่าวว่า ขณะนี้คนขับรถทั้งสองคัน ได้ถูกจับกุมควบคุมตัวแล้ว โดยคนขับรถคันที่สองถูกจับ ในวันที่ 13 ต.ค. ส่วนคนขับรถคันแรก ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา
บูรณาการได้หลายสาระ
คำถามร่วมสนทนา และอภิปราย
1 ถ้าหนูเป็นเด็กคนนี้หนูจะทำอย่างไรไม่ให้รถชน
2. เด็กชอบเดินข้ามถนนคนเดียวหรือไม่
3. ถ้าเด็กๆจะข้ามถนนควรทำอย่างไร
ใครวิเคราะห์ได้แล้ว  ช่วยมาแสดงความคิดเห็นกันหน่อยนะคะ

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ใครหนอ...เหมาะกับ 10 อาชีพชื่อ "เรียกยาก"


อาชีพ มีมากมายในโลกของเรานี้ อาชีพฮิตๆ ดังๆ อย่างหมอ อย่างครู อย่างวิศวะ ก็มีคนสนใจมาก แต่เรื่องราวบนโลกยังมีอีกมากมาย อาชีพที่รอให้น้องๆ เลือกทำก็มีอีกเยอะแยะ แต่บางอาชีพก็ชื่อแปลกๆ ยากๆ บอกไม่ถูกว่ามันเป็นอาชีพเกี่ยวกับอะไร บางอาชีพชื่อคุ้นๆ เหมือนจะรู้จัก แต่ก็ไม่แน่ใจ บางอาชีพนี่เป็นมาอย่างไรไม่เคยได้ยิน ชื่อแปลก แถมเข้าใจยากอีก พี่เกียรติเลยอาสาไปหาความหมายของอาชีพชื่อ(เข้าใจ)ยาก และแนะนำบางอาชีพที่ชาว Dek-D.com รู้จักชื่อ แต่อาจไม่รู้จักว่ามันเป็นอาชีพแบบไหน? มาให้น้องๆ ทราบกัน มาดูอาชีพแรกกันเลย
1. นักคณิตศาสตร์ประกันภัย อาชีพชื่อยาวที่บอกว่าอย่างชัดเจนว่าเหมาะกับคนชอบเลข เป็นอาชีพที่ใช้นำหลักการทางคณิตศาสตร์ สถิติ และการบริหาร มาวิเคราะห์และวางแผนการดำเนินธุรกิจประกันภัย เช่น หากบริษัทจะเปิดประกันภัยใหม่สักรูปแบบหนึ่งนักคณิตศาสตร์ประกันภัยต้องสามารถประเมินความเสี่ยง และคาดการไปข้างหน้าได้ว่า ควรมีผู้ทำประกันกี่คน คุณสมบัติแบบไหนที่จะทำให้มีคนสนใจทำประกันมากๆ ในกลุ่มผู้เอาประกันภัยมีความเสี่ยงแค่ไหนที่จะเกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แล้วบริษัทจะต้องเสียค่าสินไหมเท่าไร พอคุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่ได้รับหรือไม่ เป็นต้น
คนที่สนใจอาชีพนี้นอกจากที่จะต้องชอบคณิตศาสตร์และเก่งในวิชานี้แล้ว ก็ต้องมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ สนใจเรื่องธุรกิจ ชอบการวางแผน มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าเพียงพอที่จะคาดการในเรื่องการใช้ชีวิตของคนทั่วไปบนพื้นฐานวิชาสถิติ
คณะที่เหมาะสม คือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาสถิติ เอกคณิตศาสตร์ประกันภัย บางมหาวิทยาลัยอาจอยู่ในคณะวิทยาศาสตร์ ในสาขาคณิตศาสตร์ประกันภัยเช่นกัน

เด็กดีดอทคอม :: ใครหนอ...เหมาะกับ 10 อาชีพชื่อ "เรียกยาก"


2. นักบรรพชีวิน : paleontologist เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งชีวิต ใครชอบไดโนเสาร์และสัตว์หน้าตาแปลกๆ ที่มีในอดีตไม่ควรพลาดอาชีพนี้ นักบรรพชีวิน จะใช้ความรู้ด้านชีววิทยา ธรณีวิทยา และโบราณคดีมาผสมผสานกัน เพื่อหาคำตอบว่าซากฟอสซิลที่เจอในดินเป็นเจ้าตัวอะไรมาก่อน และศึกษาไปถึงว่าเจ้าตัวที่ว่านั้นเคยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ที่ไหน เมื่อกี่สิบกี่พันพี่ล้านปีมาก่อน
น้องๆ ที่อยากเป็นนักบรรพชีวิน ต้องชอบวิชาด้านวิทยาศาสตร์ ชีวเคมี ฟิสิกส์ และยังต้องชอบทำงานกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็ยังต้องสมบุกสมบันพอควร เพราะต้องไปลงพื้นที่ดูว่าซากฟอสซิลอยู่ที่ไหน ที่สำคัญควรฝึกภาษาอังกฤษให้ดี ไว้ติดต่อกับนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศเพื่ออัพเดตความรู้ ที่สำคัญนอกจากความสนใจในเรื่องไดโนเสาร์ และสัตว์แปลกในอดีตแล้ว ก็ยังต้องมีความคิดสรางสรรค์ ชอบที่จะค้นหาสิ่งใหม่ เพราะอาชีพนี้ต้องใช้ความสามารถในการคิดเชื่อมโยงจากกระดูกชิ้นเล็กที่เจอจากดินมาควรเป็นสัตว์ชนิดไหนได้ในอดีต


ในประเทศไทยมีที่เดียวที่เปิดสอนในสาขาบรรพชีวินโดยตรงในระดับปริญาโทและเอก คือ คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาบรรพชีวิน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งอยู่ในจังหวัดใกล้เคียงที่มีการค้นพบไดโนเสาร์ในประเทศไทยนั่นเอง แต่ถ้าน้องๆ สนใจสามารถเลือกเรียนสาขาที่เกี่ยวข้องได้ในคณะวิทยาศาสตร์ สาขาธรณีวิทยา (สถาบันที่เปิดสอนสาขาธรณีวิทยา โดยพี่เป้) แล้วสามารถไปต่อยอดได้ในระดับปริญญาโทและเอกต่อไปทั้งในและนอกประเทศได้จ้า


3. นักกีฏวิทยา : Entomologist
ใครว่าแมลงน่าเกลียดน่ากลัวอย่างเดียว มุมน่ารักๆ อย่างน้องไหม น้องหนอน (หนอนชาวเขียวไง รู้จักไหม อิอิ) และสวยงามอย่างพี่ผีเสื้อก็มีนะ นักกีฏวิทยาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญทางแมลง ศึกษาเรื่องการเจริญเติบโต โครงสร้าง กระบวนการและระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของแมลง และความสัมพันธ์ระหว่างแมลงกับชีวิตพืชและสัตว์ เพื่อช่วยควบคุม แก้ไขปัญหา และป้องกันกำจัดแมลงศัตรูทางการเกษตร รวมถึงใช้สารเคมีเพื่อการป้องกันแมลงศุตรูพืชและพาหะที่นำโรคมาสู่พืช ที่ต้องมีอาชีพที่ศึกษาเรื่องแมลงกันโดยเฉพาะแบบ เพราะโลกมีแมลงกันมากถึง 30 ล้านชนิดเลยล่ะ (ที่ค้นพบแล้วนะ แล้วที่ยังไม่รู้จักอีกล่ะ??) เรียกว่า เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิตที่สุด

น้องๆ ที่สนใจอาชีพนี้ต้องเป็นคนที่ไม่กลัวแมลง รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมลงพื้นที่จริง สมบุกสมบันสักหน่อย ชอบวิชาวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะชีววิทยา และเคมี ทำงานกับคอมพิวเตอร์ก็ได้ ทำงานเป็นทีมก็ดี ควรมีความรู้ภาษาอังกฤษอีกด้วย
คณะที่เหมาสม คือ คณะวิทยาศาสตร์และคณะเกษตร ภาควิชากีฏวิทยาและวิชาที่เกี่ยวข้องกับแมลง ซึ่งเปิดสอนกันเฉพาะทางแล้วในหลายมหาวิทยาลัยของไทย


เด็กดีดอทคอม :: ใครหนอ...เหมาะกับ 10 อาชีพชื่อ "เรียกยาก"


4. มัณฑนากร : Interior Designer เป็นผู้ใช้ศิลปะประกอบกับความความรู้ด้านการออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์งานตกแต่งภายในสถานที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงาน รวมถึงงานนิทรรศการ หรือภายในยานพาหนะที่ต้องมีการตกแต่งเป็นพิเศษอย่างเครื่องบิน ต้องทำงานตามขั้นตอน และกำหนดเวลาชิ้นผลงานต่างๆ ร่วมกับ ผู้ว่าจ้าง โดยสามารถจัดวางผังเขียนแบบ รวมถึงกำหนดรายละเอียดส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อการก่อสร้างที่สมบูรณ์ และควบคุมดูแลช่างตกแต่งภายในให้ทำหน้าที่ได้ถูกต้อง

น้องๆ ที่สนใจต้องมี ความคิดสร้างสรรค์ ชอบการจัดบ้าน มีหัวทางศิลปะ วาดรูปเป็น สร้างงานที่มีเอกลักษณ์ของตนได้ และต้องละเอียดรอบคอบ รู้จักใช้วัสดุสิ่งของที่มีได้อย่างคุ้มค่า(ปลอดภัยและประหยัดเงินลงทุนของผู้ว่าจ้าง) มีทักษะในการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการวาดรูปและเขียนแบบ
คณะที่เปิดสอนด้านนี้ คือ คณะมัณฑนศิลป์ คณะสถาปัตยกรรม และคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบตกแต่งภายใน มีทั้งแบบหลักสูตร 4 ปีและ 5 ปี แตกต่างกันในแต่ละมหาวิทยาลัยค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: ใครหนอ...เหมาะกับ 10 อาชีพชื่อ "เรียกยาก"
5. นักคติชนวิทยา : Folklorists เป็นนักวิชาการที่สนใจเรื่องวัฒนธรรมของสังคมมนุษย์ ที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมา ทั้งในสังคมชนบทและในสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นตำนาน นิทาน นิยายประจำถิ่น เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย สำนวนภาษิต คำพังเพย การละเล่น อาหารและยาพื้นบ้าน เครื่องมือเครื่องใช้ ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรม อาจศึกษาเฉพาะกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง หรือศึกษาหลายกลุ่มชนที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันก็ได้ เพื่อหาความสำคัญของรากเหง้าของมนุษย์ในอดีต วิวัฒนาการทางการใช้ชีวิตทั้งในแง่สังคมทั่วไป ประเพณี การเมือง ความเชื่อและศาสนา แล้วนำมาเป็นความรู้และบทเรียนต่อคนในยุคปัจจุบัน ความสุดยอดของอาชีพนี้คือการค้นหาความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน
อาชีพนี้เหมาะกับคนที่ชอบวิชาประวัติศาสตร์และอยากเรียนรู้ความเป็นมาของสังคมคน มักชอบเรื่องการกำเนิดและล่มสลายของเมืองต่างๆ มีความกระตือรือร้นต่อการค้นหาสิ่งใหม่ จากการอ่านหนังสือ จารึก บันทึกเก่าๆ และพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน
คณะที่เปิดสอนด้านนี้ คือ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาด้านมานุษยวิทยา
ช่วงนี้พี่ใหญ่อย่าง ม.6 หลายๆคนคงเริ่มเก็บตัวซุ่มซ้อมอ่านหนังสือกันแล้ว.. แอดมิชชั่น ครั้งเดียวในชีวิต ทำให้เต็มที่..แต่นอกจากความรอบรู้ในห้องเรียน และเนื้อหาที่สอบแล้วก็คงจะไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จในการแอดมิชชั่นได้ เพราะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ การรู้จักตัวเอง..
17  ความจริงเกี่ยวกับคณะวิศวกรรมศาสตร์  (ใครที่คิดเรียนอาจเปลี่ยนใจได้ถ้าอ่านข้อความต่อไปนี้  )
1.สอบเข้ามาได้แล้วก็ไม่ได้พิเศษกว่าคนอื่นๆ ก็ยังเป็นคนเหมือนๆกับคณะเกษตร คณะแพทย์
2.เข้ามาง่าย ก็ออกง่าย หมายถึงโดนรีไทล์ นี้เป็นเรื่องจริงคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีการออกของนักศึกษาทุกปี บางที่มาก บางที่น้อย หรือบางที่ก็ไม่มี ส่วนใหญ่จะเป็นปี1 ปี2 ปี 3                    
3.จบน้อยมาก ประมาณว่าเข้าไป 100 กว่าจบตรงตามหลักสูตรไม่ถึง 50 คน
4.ภายในคณะมีตั้งแต่ลูกคุณหนูจนถึงลูกชาวนา
5.หน้าตาตั้งแต่แบบดารานายแบบนางแบบจนถึงดูไม่ได้
6.มีตั้งแต่คนที่เก่ง ฉลาดที่สุด ไปจนถึงคนที่ช่างไมรู้อะไรบ้างเลย ไม่รู้ว่าเข้ามาได้ไง
7.
จบมาเกือบ100%ทำงานของเอกชน
8.การแข่งขันสูงมาก สูงจริงๆ ตั้งแต่สอบเข้าเรียน เข้าทำงาน จนถึงขณะที่ทำงาน
<> <>
9.เงินเดือนตั้งแต่ xx,xxx-xxx,xxx แต่ x,xxx,xxx ไม่รู้ว่ามีไหม ยังไม่เคยเห็น เงินเดือนยิ่งสูงความสามารถยิ่งต้องมากตาม
10.จบออกมา เกรดต่ำกว่า 2.0-2.5 มีโอกาสที่จะได้เดินเตะฝุ่นสูง (ตกงาน) 11.ถ้าได้เกียรตินิยม รับประกันได้ว่ามีงานทำ (เอากันได้ง่ายๆก็ดีซิ)       
12.สังคมคาดหวังไว้สูงมาก แบบว่าสร้างตึกแล้วตึกถล่ม ต้องเข้าตารางซะโดยดี (คำขวัญ:เซ็นชื่อ รับตัง ติดคุก)        
13.จะบูมเมื่อเศรษฐกิจดี ถ้าเศรษฐกิจดีความต้องการก็สูง แล้วถ้าไม่ดีล่ะ
14.ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี เช่นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ในโรงงานคนที่ได้รับซองขาวคนแรกคือวิศวกร (พูดว่าโดนให้ออกเป็นคนแรกง่ายกว่า)       
15.ไม่เก่งจริงก็มีโอกาสตกงาน (ยกเว้นในสาขาที่กำลังขาดแคลน) เพราะการแข่งขันสูง ลองคิดดูว่าแต่ละสถาบันรับเข้าไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่ภาคอุตสาหกรรมรับได้ไม่หมดหรอก
16.จบมาสอบ ใบ กว. ไม่ได้ก็ไปขายก๋วยเตี๋ยว (ขายแอมเวย์ก็ได้)       
17.อาชีพนี้อาศัยความทะเยอทยานสูง (ความก้าวหน้าในอาชีพการงานแปรผันตรงกับ ความทะเยอทยาน)

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากพี่ลาเต้  www.dek-d.com 
และวันที่ 5 ม.ค.55 พบกับพี่ลาเต้และคณะจากเว็บdek- d.com on tour ที่โรงเรียนถาวรานุกูลค่ะ 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ 10 ประการพิชิต Admission

1. สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
: น้องๆ ต้องมองโลกในด้านบวกให้กับสิ่งที่น้องๆ ต้องการและตั้งใจแน่วแน่ในการกระทำเพราะข้อสอบไม่ว่าจะยากเท่าไหร่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม

2. ประเมินความสามารถของตัวเอง
: น้องๆ ต้องพิจารณาว่าคณะวิชาที่น้องเลือกนั้น น้องมีพื้นฐานความรู้ในวิชาที่จะใช้สอบมากน้อยเพียงใด การแข่งขันของคณะวิชานั้นสูงแค่ไหน และประเมินจากเวลาที่เหลือที่น้องๆ จะใช้ในการเตรียมตัวว่าพอเพียงหรือไม่

3. แบ่งเวลาในการดูหนังสือ และกิจกรรมต่างๆ ให้ลงตัว
: เวลาผ่านไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้น้องๆ ต้องพยายามแบ่งเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสมโดยให้เวลากับอ่านหนังสือเป็นหลัก แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะผ่อนคลายโดยการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่น้องๆ ชอบด้วย

4. วางแผนจัดการชีวิตให้ลงตัว
: ข้อนี้จะคล้ายกับการแบ่งเวลาแต่จะลงรายละเอียดเยอะกว่าโดยน้องๆ จะต้องวางแผนการดำเนินชีวิตในแต่ละวันว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายที่น้องตั้งเอาไว้

5. เอาชนะตัวเอง
: ข้อนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด เพราะถ้าน้องๆ เอาชนะตัวเอง เอาชนะความเกียจคร้าน สร้างวินัยให้กับตนเอง สร้างกำลังใจให้กับตัวเองไม่ได้ น้องๆจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย

6. ขจัดความกังวลออกไป
: เมื่อน้องๆ เริ่มลงมือเตรียมตัวเพื่อสอบต้องตัดความกังวลที่มีอยู่ออกไปให้หมด อย่ากังวลถึงอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น อย่าคิดว่าทำไม่ได้ น้องๆต้องคิดว่าเมื่อมีความพยายาม ต้องมีความสำเร็จ

7. ทำตัวให้สนุกกับการอ่านหนังสือ
: อย่ามองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ให้มองว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานทำให้เราประเทืองปัญญา ทำให้เราเป็นคนที่รอบรู้ สามารถเข้าสังคมได้อย่างไม่อายใครและเป็นที่ยอมรับในอนาคต


8. ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง
: รางวัลในที่นี้คงไม่ได้หมายถึง เงินทอง เพชรพลอย แต่หมายถึงการทำกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กิจกรรมที่ทำแล้วสบายใจ เช่นการร้องคาราโอเกะ ดูหนัง ฟังเพลง

9. สร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นแรงกระตุ้น
: อาจจะทำได้โดยการรวมกลุ่มกันอ่านหนังสือกับเพื่อนๆ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนความคิดและทบทวนในสิ่งที่เรากำลังอ่าน นอกจากจะทำให้เราอยากอ่านหนังสือแล้วยังทำให้เราประเมินตัวเองได้อีกว่ายังต้องพยายามมากขึ้นอีกแค่ไหน


10. ให้โอกาสตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
: ทางเลือกในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมีอยู่มากมาย ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐบาล และเอกชนถึงน้องจะพลาดหวังจากทางเลือกนึงก็ยังที่ทางเลือกอื่น

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โลจิสติกส์คืออะไร

มารู้จักกับ "โลจิสติกส์"
โลจิสติกส์ (Logistics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีกแปลว่า “ศิลปะในการคำนวณ” ในสมัยโบราณ รวมทั้งในสมัยปัจจุบัน มีการกล่าวถึง การส่งกำลังบำรุงทางทหาร และการประสบชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ในสงครามโดยอาศัยความเข้มแข็ง หรือความอ่อนแอของสมรรถนะในเชิงโลจิสติกส์
คำนิยามที่ใช้นิยามการจัดการโลจิสติกส์ในระดับสากลนั้นจะเป็นคำนิยามจาก The Council of Logistics Management (CLM) ซึ่งได้ให้คำนิยามการจัดการด้านโลจิสติกส์ไว้ว่า
“กระบวนการในการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการไหล การจัดเก็บวัตถุดิบ สินค้าคงคลังในกระบวนการ สินค้าสำเร็จรูป และสารสนเทศที่เกี่ยวข้องจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดที่มีการใช้งาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค”
นอกจากนั้นแล้ว Logistix Partners Oy, Helsinki, Fl ให้คำนิยามโลจิสติกส์ธุรกิจว่า
“โครงสร้างของการวางแผนทางธุรกิจ สำหรับการบริหารจัดการกับวัตถุดิบ การบริการการไหลของข้อมูล และเงินทุน ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่มีความซับซ้อน การติดต่อสื่อสาร และกระบวนการควบคุม ให้ตรงกับความต้องการในสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจปัจจุบัน
พันธกิจของการบริหารโลจิสติกส์ คือ การวางแผนการดำเนินงานและประสานการดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆที่มุ่งบรรลุผลในด้านการตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า โดยการนำเสนอบริการและคุณภาพในระดับที่เหนือกว่า ด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำนิยามที่เกี่ยวข้อง
• วิศวกรรมโลจิสติกส์ (Logistics Engineering)
• โลจิสติกส์แบบย้อนกลับ (Reverse Logistics)
• Production Logistics
• Consumer Logistics
• Third Party Logistics
• Global Logistics
บทบาทของโลจิสติกส์
โลจิสติกส์เป็นกุญแจสำคัญในระบบเศรษฐกิจสองแนวทาง คือ
• โลจิสติกส์เป็นรายจ่ายที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ และจะส่งผลกระทบและได้รับผลกระทบจากกิจกรรมอื่น ในระบบเศรษฐกิจ การปรับปรุงประสิทธิผลของกระบวนการด้านโลจิสติกส์ จะส่งผลโดยตรงต่อการปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจโดยรวมให้ดีขึ้นได้
• โลจิสติกส์ได้รองรับการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการของธุรกรรมทางเศรษฐกิจ และได้กลายเป็นกิจกรรมสำคัญในด้านการสนับสนุนการขายเสมือนหนึ่งเป็นสินค้าและบริการด้วย
• โลจิสติกส์เป็นการเพิ่มอรรถโยชน์ทางด้านเวลาและสถานที่ โดยให้มีการนำสินค้าที่ลูกค้าต้องการเพื่อบริโภคหรือเพื่อการผลิตไปยังสถานที่ที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ ในสภาพที่ต้องการ และในต้นทุนที่ต้องการ
พัฒนาการจัดการโลจิสติกส์
พัฒนาการของโลจิสติกส์ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 เป็นต้นมา อาจสรุปได้ดังนี้
โลจิสติกส์ด้านการทหาร
โลจิสติกส์เริ่มเป็นที่รู้จักในครั้งแรกสืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในความสามารถการกระจายและจัดเก็บยุทธภัณฑ์และกำลังพลอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นกุญแจสำคัญในชัยชนะของกองทัพสหรัฐในครั้งนั้น
การแข่งขันที่รุนแรง
จากการที่อัตราดอกเบี้ยและต้นทุนด้านพลังงานสูงขึ้น โลจิสติกส์จึงได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น จากการที่โลจิสติกส์เป็นต้นทุน ในการดำเนินที่สำคัญตัวหนึ่ง ต้นทุนจากโลจิสติกส์จึงเป็นสิ่งที่กำหนด ความอยู่รอดสำหรับหลายๆ องค์กร นอกจากนี้อุตสาหกรรมยุคโลกาภิวัฒน์ยังได้ส่งผลกระทบ ต่อโลจิสติกส์ในหลายแนวทางดังนี้
• การแข่งขันระดับโลกที่มากขึ้น โลจิสติกส์เป็นตัวตัดสินเนื่องจากองค์กรภายในประเทศจะต้องเพิ่มความน่าเชื่อถือ และมีการตอบสนองที่รวดเร็วต่อตลาดที่อยู่ใกล้เคียงมากกว่าคู่แข่งที่อยู่ไกลออกไป
• องค์กรที่ซื้อขายระหว่างคู่ค้า จะพบว่าโซ่อุปทานมีต้นทุนสูงและความซับซ้อนมากขึ้น การบริหารโลจิสติกสืที่ดีจึงมีความจำเป็นเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันอย่างเต็มที่ทั่วโลก
กิจกรรมหลักในการจัดการโลจิสติกส์
กิจกรรมต่างๆ ที่อยู่ในขอบข่ายการกระบวนการโลจิสติกส์ ประกอบด้วย
• งานบริการลูกค้า
• การวางแผนเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของอาคารโรงงาน คลังสินค้า
• การพยากรณ์และการวางแผนอุปสงค์
• การจัดซื้อจัดหา
• การจัดการสินค้าคงคลัง
• การจัดการวัตถุดิบ
• การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ
• การบรรจุหีบห่อ
• การดำเนินการกับคำสั่งซื้อ
• การขนของและการจัดส่ง
• โลจิสติกส์ย้อนกลับ (อาทิเช่น การจัดการสินค้าคืน)
• การจัดการกับช่องทางจัดจำหน่าย
• การกระจายสินค้า
• คลังสินค้าและการเก็บสินค้าเข้าคลัง
• การจราจรและการขนส่ง
• กิจกรรมการแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
• การรักษาความปลอดภัย

การเชื่อมประสานกันของกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้เพื่อบรรลุถึง ความร่วมมือกันในการวางแผน, การดำเนินการ, การควบคุมสินค้าและการบริการ และการไหลของข้อมูลผ่านองค์กรอย่างประสานสอดคล้องมีประสิทธิภาพ คือ สิ่งที่รู้จักกันทุกวันนี้ว่า โลจิสติกส์
สรุปแล้ว การจัดการโลจิสติกส์ คือ กระบวนการจัดการและกระบวนการสารสนเทศ ที่ทำหน้าที่เป็นเสมือนแกนกลาง ในการแสวงหาแหล่งของวัตถุดิบและบริการ, การจัดหา, การเก็บสินค้าเข้าคลัง และการจัดส่งผลิตภัณฑ์ ที่ถูกต้องไปยังสถานที่ที่ถูกต้องในเวลาที่พอเหมาะ โดยมีการเก็บสินค้าคงคลัง, การสิ้นเปลืองเวลา ค่าใช้จ่าย, ความเพียรพยาม. และเงินทุน น้อยที่สุดเพื่อที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ อย่างมีประสิทธิผล
ที่มา : http://www.utcc.ac.th/engineer/logistics/logistic.htm

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การขจัดทุกข์ด้วยตนเอง
เมื่อเกิดทุกข์มากๆ ผลที่ตามมาไม่ได้มีต่อจิตใจหรืออารมณ์ตามที่ได้กล่าวมาแล้วเท่านั้น แต่จะมีผลกระทบต่อร่างกายและความเป็นอยู่ทุกอย่างของเราด้วย เช่น คนส่วนใหญ่จะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือบางคนอาจจะกินมากขึ้น นอนมากกว่าปกติ ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากทำงาน หรือทำงานไม่ได้เพราะจิตใจว้าวุ่นถ้าเรารู้สึกว่าทุกข์มาก กลุ้มมาก ควรจะขจัดออกไปให้เร็วและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
ต้องยอมรับว่าเรามีความทุกข์ต้องรีบแก้ไข
หาสาเหตุของความทุกข์นั้น ว่าเราทุกข์เรื่องอะไร ใครที่ทำให้เราทุกข์ และตัวเรามีส่วนทำให้เกิดความทุกข์เองด้วยหรือไม่ เช่น คนรักทิ้งเราไป ตัวเขาเป็นสาเหตุให้เราทุกข์ใจ แต่อาจมีสาเหตุมาจากเราด้วยหรือไม่ เป็นต้นว่า เราดูแลเขาดีพอหรือเปล่า เราทำให้เขาไม่เห็นคุณค่าในตัวเราหรือไม่ หรือเราให้ความสำคัญต่อเขามากกว่าตัวเราหรือเปล่าจนทำให้เรารู้สึกแย่ หมดคุณค่าเมื่อเขาทิ้งเราไปทั้งๆ ที่เราก็ยังมีอะไรดีๆ อีกหลายอย่าง
ระบายความทุกข์ โดยพูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือญาติผู้ใหญ่ที่รับฟังเราไม่ต้องกลัวเขาจะหาว่าเราอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ถ้าเราไม่ได้ระบายความทุกข์ออกบ้างต้องเก็บไว้คนเดียวเราจะรู้สึกอึดอัด แต่ถ้าได้พูดให้ใครฟังบ้างเรื่องความทุกข์นั้น จะรบกวนความรู้สึกนึกคิดของเราน้อยลง จะทำให้เรามองเห็นทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น เรื่องอะไร เราจะเก็บความทุกข์เอาไว้คนเดียว
หากิจกรรมทำ  เพื่อให้เหนื่อยและเป็นการดึงความคิดเกี่ยวกับความทุกข์ออกไปจากตนเองและช่วยให้หลุดพ้นจากวังวนความคิดด้วยตนเอง ถ้ามีงานทำอยู่แล้วก็ควรทุ่มเทกับงานให้มาก เช่น ทำงานบ้าน ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา หรือออกกำลังกาย
ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น เปลี่ยนจากสถานที่ที่จำเจชั่วคราวเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายใจ
หาคนสนับสนุน  อาจจะเป็นการยากลำบากสักหน่อยในการกลับเข้าไปหากลุ่มเพื่อนเพราะเรากลัวว่าเขาจะรู้เรื่องของเรา กลัวเขาประณาม กลัวถูกว่าเราแปลกไปจากเดิมแต่ถ้าเราสามารถเข้ากลุ่มเพื่อนได้เราจะรู้สึกว่ากลุ่มสามารถช่วยทำให้จิตใจเราดีขึ้นและอาจจะช่วยเราแก้ปัญหาได้ด้วย
เมื่อเราพยายามช่วยตัวเองด้วยวิธีการต่างๆแล้ว ยังรู้สึกไม่ดีขึ้นหรือทนความทุกข์ไม่ได้ ก็ควรจะไปพบผู้ที่มีความรู้ที่สามารถให้การช่วยเหลือเราได้ที่สถานบริการสาธารณสุขต่างๆ ที่ใกล้บ้าน เช่น สถานีอนามัย โรงพยาบาล หรือหน่วยงานที่ให้
จงละเว้นการแก้ปัญหาแบบต่างๆ ต่อไปนี้
อย่าแก้ปัญหาแบบวู่วามใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เมื่อเจอปัญหาให้พยายามสงบสติอารมณ์อย่างเพิ่งเอะอะโวยวาย ให้หายใจช้าๆ ลึกๆ สัก 4-5 ครั้ง หรือนับ 1-10 ก่อนจะตอบโต้อะไรออกไป จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังกับสิ่งที่ได้ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
อย่าหนีปัญหา แล้วหันเข้าหาบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ เพื่อช่วยให้สบายใจขึ้นชั่วคราว
จงกล้าเผชิญปัญหา และอย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบแก้ปัญหาเสียแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยให้ค้างคาอยู่เป็นเวลานาน เพราะความเครียดจะสะสมมากขึ้นด้วย
อย่าคิดแต่จะพึ่งพาผู้อื่นอยู่ร่ำไป
จงถือคติ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หัดใช้ความสามารถของตัวเองบ้าง แล้วจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองแต่ถ้าปัญหานั้นเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ และลองใช้ความสามารถของตัวเองแล้ว ก็ยังไม่ได้ผล การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่พึงทำได้
อย่า เอาแต่ลงโทษตัวเอง
คนเราทำผิดกันได้ ถ้าพลาดไปแล้ว จงให้โอกาสตัวเองที่แก้ไขและอย่าได้ทำผิดในเรื่องเดิมซ้ำอีก การเฝ้าคิดลงโทษตัวเองไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา และไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากความทุกข์ใจเท่านั้น
อย่าโยนความผิดให้คนอื่น
จงรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำร่วมกัน การปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบ โดยโยนความผิดให้คนอื่น ไม่ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะก่อความแตกแยกให้มากขึ้นเท่านั้น
จงแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ใช้เหตุผลและใช้ความคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน โดย
คิดหาสาเหตุของปัญหาด้วยใจเป็นธรรม ไม่เข้าข้างตัวเองไม่โทษคนอื่น
คิดหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ วิธี ถ้าคิดเองไม่ออกอาจปรึกษาผู้ใกล้ชิดหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีที่คิดไว้ อาจต้องใช้ความกล้าหาญ อดทน หรือต้องใช้เวลาบ้างอย่าได้ท้อถอยไปเสียก่อน ประเมินผลดูว่าวิธีที่ใช้ได้ผลหรือไม่ ถ้าไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นๆ ที่เตรียมไว้จนกว่าจะได้ผล
แก้ปัญหาได้ก็หายทุกข์
สาเหตุของความทุกข์ใจมาจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตระดับของความทุกข์ขึ้นอยู่กับความหนักเบาของปัญหา ในช่วงที่ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จะรู้สึกเครียดมากทุกข์มาก เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียด ความทุกข์ใจ ก็จะหมดไป
เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น
คิดอย่างไรไม่ให้ทุกข์
ความคิด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ยิ่งคิดมากก็ทุกข์มาก หากรู้จักคิดให้เป็นก็จะช่วยให้ลดความทุกข์ไปได้มาก
วิธีคิดที่เหมาะสม ได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มาก อย่าเอาแต่เข้มงวด จับผิด หรือตัดสินผิดถูกตัวเองและผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จงละวาง ผ่อนหนัก ผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ รู้จักให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคือง หัดลืมเสียบ้าง ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น
2. คิดอย่างมีเหตุผล  อย่าด่วนเชื่ออะไรง่ายๆ แล้วเก็บเอามาคิดวิตกกังวล ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนนอกจากจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกได้ง่ายๆ แล้วยังตัดความกังวลได้ด้วย
3. คิดหลายๆ แง่มุม  ลองคิดหลายๆ ด้าน ทั้งด้านดี และด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าคนหรือไม่ว่าเหตุการณ์อะไรก็ตามย่อมมีทั้งส่วนดี และไม่ดีประกอบกันทั้งนั้นอย่ามองเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ นอกจากนี้ควรหัดคิดในมุมของคนอื่นบ้าง เช่น สามีจะคิดอย่างไรลูกจะรู้สึกอย่างไร เจ้านายจะแก้ปัญหานี้อย่างไรเป็นต้น จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดีๆ ถ้าคอยคิดถึงแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องความล้มเหลว ผิดหวังหรือเรื่องไม่เป็นสุขทั้งหลายก็ยิ่งทุกข์ไปใหญ่ ควรคิดถึงเรื่องดีๆ ให้มากขึ้น เช่นคิดถึงประสบการณ์ที่เป็นสุขในอดีต ความสำเร็จในชีวิตที่ผ่านมา คำชมเชยที่ได้รับ ความดีของคู่สมรส ความมีน้ำใจของเพื่อน ฯลฯ จะช่วยให้สบายใจมากขึ้น
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง  อย่าคิดหมกมุ่นอยู่กับตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้าง รับรู้ความเป็นไปของคนใกล้ชิด และใส่ใจที่จะช่วยเหลือ สนใจปัญหาของผู้คนในสังคมบ้างบางทีคุณอาจจะพบว่าปัญหาที่คุณกำลังเป็นทุกข์อยู่นี้ ช่างเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับปัญหาของคนอื่นๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าคุณช่วยเหลือคนอื่นได้ คุณจะสุขใจขึ้นเป็นทวีคูณด้วย
*******************************************
ที่มาของข้อมูล: จาก จากคู่มือดูแลตนเอง เรื่อง ทำอย่างไรเมื่อใจเป็นทุกข์ หน้า 9-17 โดย. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เรียนอย่างไรให้เก่ง

หลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนหนังสือ 6 ประการซึ่งมีผู้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผลดีมีดังนี้
1. สะสม (Gradual) เรียนอย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมวันละนิดไม่ใช่หักโหมก่อนสอบ
2. ทำซ้ำ (Repetition) ทบทวน ท่อง และทำแบบฝึกหัดซ้ำ ๆ
3. ย้ำรางวัล (Reinforcement) ควรให้รางวัลตัวเองเมื่อ ทำงานสำเร็จในแต่ละครั้งเพื่อให้ขยันขึ้น
4. ขยันคิด (Active Learning) จงใส่ใจคิดตามเสมออย่าฟังหรืออ่านไปเรื่อย ๆ
5. ฟิตปฏิบัติ (Practice) ต้องลงมือปฏิบัติให้เกิดความชำนาญไม่ใช่รู้แต่ทฤษฏีอย่างเดียว การลงมือปฏิบัติจริงจะทำให้จำแม่นยำเกิดการถ่ายโยงความจำระยะสั้นให้เป็นระยะยาว
6. หาทางบังคับตัวเอง (Stimulus Control) โดยอาศัยการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นตัวเร่งและกระตุ้น
จากหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน 6 ประการดังกล่าว ถ้าเราปฏิบัติตนให้ถูกวิธี เราจะประสบผลสำเร็จ มีผู้เสนอข้อปฏิบัติตนที่ดีไว้มากมาย ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติตนที่ได้คัดเลือกให้ท่านลองนำไปปฏิบัติดูเพียง 5 ข้อ
1. เวลาฟังอาจารย์สอนหรือเวลาอ่าน ต้องคิดตาม ถาม จด ตลอดเวลา ถ้าไม่เข้าใจควรจดคำถามไว้เพื่อคิดค้นคว้าหรือถามผู้รู้ต่อไป
2. หามุมที่ใช้เป็นที่ดูหนังสือหรือทำการบ้านที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ
3. จัดเวลาสำหรับทบทวนสิ่งที่เรียนมา หรืออ่านล่วงหน้าสิ่งที่จะเรียนต่อไป และถ้าปฏิบัติตามที่กำหนดได้ควรให้รางวัลตัวเอง เช่น ได้ขนม ได้เล่น ได้ฟังเพลง ดูทีวี ได้ออกกำลัง เป็นต้น ถ้าทำไม่ได้ตามกำหนดควรหาเวลาชดเชย
4. ท่องหนังสือกับเพื่อน อย่าหวงวิชา แบ่งปันความรู้อธิบายให้กันและกัน อย่าช่วยเหลือเพื่อนในทางที่ผิด เช่น ทุจริตเวลาสอบ หรือให้ลอกงานโดยไม่เข้าใจ
5. ฝึกศึกษาด้วยตนเอง มิใช่ต้องเรียนจากครูเพียงอย่างเดียว การศึกษาด้วยตนเองต้องใช้สมาธิมาก ต้องทำความเข้าใจจดสาระสำคัญต่าง ๆ ลงในโน้ตย่อ จดสิ่งที่ไม่เข้าใจไว้ค้นคว้าต่อไป
ขอให้ท่านลองปฏิบัติตาม 5 ข้อนี้ โปรดสำรวจตัวท่านเองทุกสัปดาห์ว่า ท่านยังขาดข้อใดบ้างพยายามปรับปรุงทำให้ได้ ต้องอดทน แม้ว่าจะเป็นนิสัยเดิมก็ตาม ถ้าท่านทำได้รับรองว่าท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนคนหนึ่งแน่นอน
หากท่านยังไม่สามารถปฏิบัติตนดังกล่าวได้ ท่านต้องหาสาเหตุอื่น ๆ อีกเช่น ท่านขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือไม่ เวลาทำใจไม่จดจ่อ (ขาดสมาธิ) ใช่หรือไม่ อ่านเท่าไรก็ไม่จำ (อ่านไม่เป็น) ใช่หรือไม่คิดเท่าไรก็ไม่ออก ใช่หรือไม่

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อ ลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้ เพื่อจะ ได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้

1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุก ครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น

2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง

3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น

4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ

5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่า การอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ

6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น

7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้

8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

บทความจาก http://fahsai26.myfri3nd.com/blog/2011/01/17/entry-2
และภาพสวยๆ จาก สสส